แนวคิดการจัดการความรู้ (Knowledge
Management)
ความหมายของการจัดการความรู้ การจัดการความรู้เป็นกระบวนการ (Process) ที่ดำเนินการร่วมกันโดยผู้ปฏิบัติงานในองค์กร
หรือหน่วยงานย่อยขององค์กรเพื่อสร้าง
และใช้ความรู้ในการทำงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่ดีขึ้นกว่าเดิม
การจัดการความรู้เป็นกระบวนการที่เป็นวงจรต่อเนื่อง เกิดการพัฒนางานอย่างสม่ำเสมอ
เป้าหมาย คือ การพัฒนางาน และพัฒนาคน โดยมีความรู้เป็นเครื่องมือ
มีกระบวนการจัดการความรู้เป็นเครื่องมือ ในขณะที่ Henrie
and Hedgepeth (2003) ให้ความหมายว่า
การจัดการความรู้เป็นระบบการจัดการสินทรัพย์ความรู้ขององค์กรทั้งที่เปความรู้โดยนัยและความรู้ที่เห็นได้อย่างชัดเจน
ระบบการจัดการความรู้เป็นกระบวนการที่เกี่ยวพันกับการจำแนกความรู้
การตรวจสอบความรู้ การจัดเก็บความรู้ที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว
การเตรียมการกรองความรู้ การเตรียมการเข้าถึงความรู้ให้กับผู้ใช้
ทั้งนี้โดยมีหลักการที่สำคัญ คือ ทำให้ความรู้ถูกใช้ถูกปรับเปลี่ยนและถูกยกระดับขึ้น โมเดลเซกิ (SECI Model) ถูกเสนอโดย โนนากะ กับ ทาเคอุชิ (Nonaka
และ Takeuchi,1995) คือ
แผนภาพแสดงความสัมพันธ์การหลอมรวมความรู้ในองค์กรระหว่างความรู้ฝังลึก (Tacit
Knowledge) กับความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge)
ใน 4 กระบวนการ เพื่อยกระดับความรู้ให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นวัฎจักร
เริ่มจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Socialization) การสกัดความรู้ออกจากตัวคน
(Externalization) การควบรวมความรู้ (Combination) และการผนึกฝังความรู้
(Internalization) และวนกลับมาเริ่มต้นทำซ้ำที่กระบวนการแรกเพื่อพัฒนาการจัดการความรู้ให้เป็น
งานประจำที่ยั่งยืน
SECI Model ซึ่งเป็นกระบวนการในการสร้างความรู้ที่เกิดจากการผสมผสานระหว่าง
ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) และ ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวบุคคล (Tacit
Knowledge) ที่ประกอบด้วย 4
กระบวนการที่เป็นพลวัตร ได้แก่
S =
Socialization แสดงการถ่ายโอนความรู้กันโดยตรงระหว่างกลุ่ม
หรือบุคคล ทีมความรู้พื้นฐานความสนใจที่สอดคล้องกัน
หรือมีคลืนความถีทสอสารทําความเข้าใจกันได้โดยง่าย
สามารถทําให้เกิดขึ้นได้ทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
E = Externalization
แสดงให้เห็นการเรียนรู้ แสวงหาสิงใหม่ๆ
จากภายนอกเพิ่มเข้ามาเพื่อให้ทันต่อกระแสการเปลี่ยน แปลง
รวมทังประสบการณ์ตรงที่สมผัสกับลูกค้า ผู้ใช้บริการ ผู้ทําธุรกิจกับองค์กร
เป็นความรู้ที่สําคัญต่อความสามารถในการแข่งขันและดํารงอยู่ขององค์กร
C =
Combination เชื่อมโยงความรู้ภายในกับความรู้ภายนอก
แล้วหาแนวปฏิบัติที่ดีที่เหมาะสมกับเรา ในส่วนนี้ผู้ที่
มีความสามารถใช้ภาษาในการสื่อสารที่ดี จะช่วยสรุปองค์ความรู้ใหม่ๆ ให้กับองค์กรได้
I =
Internalization เป็นผลของการเชื่อมโยงแล้วนําความรู้มาปฏิบัติเกิดเป็นความรู้ประสบการณ์และปัญญาฝังอยู่ในตัวคน
กลายเป็น Tacit Knowledge เพือนําไปถ่ายทอดหมุนเวียนต่อไป
1. การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Socialization)
กระบวนการที่ 1
อธิบายความสัมพันธ์ทางสังคมในการส่งต่อระหว่างความรู้ฝังลึก (Tacit
knowledge) ด้วยกัน
เป็นการแบ่งปันประสบการณ์แบบเผชิญหน้าระหว่างผู้รู้ เช่น การประชุม การระดมสมอง
ที่มาจากความรู้ การเรียนรู้ และประสบการณ์ของแต่ละบุคคล เฉพาะเรื่อง เฉพาะพื้นที่
แล้วนำมาแบ่งปัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน
ที่มิใช่เป็นเพียงการอ่านหนังสือ คู่มือ หรือตำรา
2. การสกัดความรู้ออกจากตัวคน
(Externalization)
กระบวนการที่ 2
อธิบายความสัมพันธ์กับภายนอกในการส่งต่อระหว่างความรู้ฝังลึก (Tacit
knowledge) กับความรู้ชัดแจ้ง (Explicit knowledge)
อาจเป็นการนำเสนอในเวทีวิชาการ หรือบทความตีพิมพ์
เป็นการพัฒนาองค์ความรู้ที่ถูกฝังอยู่ในความรู้ฝังลึกให้สื่อสารออกไปภายนอก
อาจเป็นแนวคิด แผนภาพ แผนภูมิ
เอกสารที่สนับสนุนให้เกิดการสื่อสารระหว่างผู้เรียนรู้ด้วยกันที่เข้าใจได้ง่าย
ซึ่งความรู้ฝังลึกจะถูกพัฒนาให้ตกผลึกและถูกกลั่นกรอง แล้วนำไปสู่การแบ่งปัน
เปลี่ยนเป็นฐานความรู้ใหม่ที่ถูกนำไปใช้สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ในกระบวนการใหม่
3. การควบรวมความรู้
(Combination)
กระบวนการที่ 3
อธิบายความสัมพันธ์การรวมกันของความรู้ชัดแจ้ง (Explicit knowledge) ที่ผ่านการจัดระบบ
และบูรณาการความรู้ที่ต่างรูปแบบเข้าด้วยกัน เช่น นำความรู้ไปสร้างต้นแบบใหม่
ไปสร้างสรรค์งานใหม่ ได้ความรู้ใหม่
โดยความรู้ชัดแจ้งได้จากการรวบรวมความรู้ภายในหรือภายนอกองค์กร แล้วนำมารวมกัน
ปรับปรุง หรือผ่านกระบวนการที่ทำให้เกิดความรู้ใหม่
แล้วความรู้ใหม่จะถูกเผยแพร่แก่สมาชิกในองค์กร
4. การผนึกฝังความรู้
(Internalization)
กระบวนการที่ 4
อธิบายความสัมพันธ์ภายในที่มีการส่งต่อความรู้ชัดแจ้ง (Explicit knowledge)
สู่ความรู้ฝังลึก (Tacit knowledge) แล้วมีการนำไปใช้ในระดับบุคคล
ครอบคลุมการเรียนรู้และลงมือทำ ซึ่งความรู้ชัดแจ้งถูกเปลี่ยนเป็นความรู้ฝังลึกในระดับบุคคลแล้วกลายเป็นทรัพย์สินขององค์กร
ตัวอย่าง
1. Socialization เป็นการแบ่งปันประสบการณ์หรือความรู้ที่ฝังลึกในตัวคน
(tacit knowledge ) ผ่านการสื่อสารแบบเผชิญหน้าเป็นรายบุคคล เช่นการฝึกงานแบบ on job training
(OJT) หรือฝึกงานกันพี่เลี้ยง พี่สอนน้อง
(mentor) ซึ่งจะเห็นได้ว่าความรู้แฝงที่ถ่ายทอดออกมานั้นไม่จำเป็นต้องเป็นภาษาพูดแต่เป็นการถ่ายทอดโดยการกระทำหรือกิจกรรมให้ผู้ฝึกงานได้เห็นและเลียนแบบพฤติกรรมและนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันได้ ซึ่งเป็นการดึงความรู้ที่ฝังลึกในตัวผู้ถ่ายทอดสู่ผู้ฝึกปฏิบัติผ่านการมีปฏิสัมพันธ์กันโดยตรง TK -> TK
3. Combination เป็นกระบวนการผนวกรวมความรู้ชัดแจ้ง (explicit knowledge) ที่ได้จากระยะ Externalization เข้าด้วยกัน ซึ่งรวมทั้งมีเชื่อมโยงความรู้ภายในกับความรู้ภายนอกซึ่งอาจเป็นบทความ งานวิจัยหรือวิทยานิพนธ์มาต่อยอดความรู้เดิม แล้วหาแนวทางปฏิบัติที่ดีเหมาะสมกับองค์กรมาสร้างเป็นความรู้ชัดแจ้งเรื่องใหม่ มีการกระจายหรือเผยแพร่ความรู้ชัดนั้น โดยอาจใช้รูปแบบของการประชุมเพื่อนำเสนอความรู้ใหม่ๆ ให้สมาชิกในองค์กรได้รับทราบ หรือการตีพิมพ์เพื่อเผยแพร่ ในกระบวนการนี้จึงเป็นการสร้างสรรค์ความรู้ชัดแจ้ง (explicit knowledge) สู่ความรู้ชัดแจ้ง(explicit
knowledge) EK -> EK
ประโยชน์ของการจัดการองค์ความรู้
1.เพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร
2.ป้องกันการสูญหายของภูมิปัญญา
3.เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและความอยู่รอด
4.เป็นการลงทุนในต้นทุนมนุษย์
ในการพัฒนาความสามารถที่จะแบ่งปันความรู้ที่ได้เรียนรู้มาให้กับคนอื่นๆ ในองค์กร
และนำความรู้ไปปรับใช้กับงานที่ทำอยู่ให้เกิดประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น เป็นการพัฒนาคน
และพัฒนาองค์กร
5.ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการตัดสินใจและวางแผนดำเนินงานให้รวดเร็ว
และดีขึ้น เพราะมีสารสนเทศหรือแหล่งความรู้เฉพาะที่มีหลักการ เหตุผล
และน่าเชื่อถือช่วยสนับสนุนการตัดสินใจ
6.ผู้บังคับบัญชาสามารถทำงานเชื่อมโยงกับผู้ใต้บังคับบัญชาให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น
ช่วยเพิ่มความกลมเกลียวในหน่วยงาน
7.เมื่อพบข้อผิดพลาดจากการปฏิบัติงาน
ก็สามารถหาวิธีแก้ไขได้ทันท่วงที
8.แปรรูปความรู้ให้เป็นทุนซึ่งเป็นการสร้างความท้าทายให้องค์กรผลิตสินค้าและบริการจาก
ความรู้ที่มี เพื่อเพิ่มคุณค่า และรายได้ให้กับองค์กร
9.เพื่อการสร้างสรรค์
และบรรลุเป้าหมายของจินตนาการที่ยิ่งใหญ่
10.ความสามารถในการปรับตัวและความยืดหยุ่น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น