การใช้งาน JOOMLA เบื้องต้น
Joomla คือ ระบบบริหารจัดการเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมมาก ด้วยความสามารถของระบบที่ถูกจัดเตรียมมาให้ผู้ใช้งานสร้างเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว หน้าจอการทำงานถูกออกแบบให้ใช้งานได้ง่าย และสามารถปรับแต่งระบบได้ตามต้องการ ที่สำคัญเป็นระบบฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งทางทีมผู้พัฒนามีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และทันต่อเทคโนโลยี
Joomla หรือCMS ตัวหนึ่งจากหลายๆ ตัวที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน สำหรับคุณที่ยังไม่รู้จักว่า CMS คืออะไร ขออธิบายสั้นๆ เพิ่มเติมดังนี้ครับ CMS นั้นเป็นอักษรย่อของ คำว่า "Content Management System" ซึ่งเมื่อแปลเป็นภาษาไทย หมายถึง ระบบบริหารจัดการเนื้อหาของเว็บไซต์ นั่นหมายความว่า สิ่งที่เราจะต้องดูแลก็คือเนื้อหาของเว็บไซต์ เช่น การเพิ่มบทความ การเพิ่มรูปภาพ หรือการปรับแต่งโยกย้ายโมดูลต่าง ๆ ไม่จำเป็นจะต้องมานั่งเขียน Code ด้วยภาษา HTML , PHP, SQL เพียงแต่เรียนรู้วิธีการติดตั้ง การปรับแต่ง การใช้งาน CMS เท่านั้น สำหรับ Code ต่าง ๆ ที่นำมาสร้าง และ ออกแบบเว็บไซต์ จะทำโดยทีมงานของผู้พัฒนา CMS ของแต่ละทีม ซึ่งทำให้ประหยัดเวลาในการสร้าง และออกแบบเว็บไซต์ ได้อย่างมาก
แนะนำโปรแกรม Joomla
"joomla" เป็นระบบบริหารจัดการเว็บไซต์ (content management system: cms) ที่ช่วยให้การพัฒนาเว็บไซต์เป็นเรื่องง่ายและรวดเร็ว สามารถติดตั้งใช้งานและอัพเดทข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลาตามต้องการ
โปรแกรม joomla จะแบ่งเว็บไซต์ออกเป็นสองส่วนหลัก ๆ คือ
frontend คือส่วนที่แสดงผลให้กับผู้เข้าชมเว็บไซต์ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเนื้อหาของเว็บไซต์นั่นเอง
backend คือส่วนการจัดการเนื้อหารวมถึงโครงสร้างของเว็บไซต์ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าส่วนadministrator
Joomla หรือCMS ตัวหนึ่งจากหลายๆ ตัวที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน สำหรับคุณที่ยังไม่รู้จักว่า CMS คืออะไร ขออธิบายสั้นๆ เพิ่มเติมดังนี้ครับ CMS นั้นเป็นอักษรย่อของ คำว่า "Content Management System" ซึ่งเมื่อแปลเป็นภาษาไทย หมายถึง ระบบบริหารจัดการเนื้อหาของเว็บไซต์ นั่นหมายความว่า สิ่งที่เราจะต้องดูแลก็คือเนื้อหาของเว็บไซต์ เช่น การเพิ่มบทความ การเพิ่มรูปภาพ หรือการปรับแต่งโยกย้ายโมดูลต่าง ๆ ไม่จำเป็นจะต้องมานั่งเขียน Code ด้วยภาษา HTML , PHP, SQL เพียงแต่เรียนรู้วิธีการติดตั้ง การปรับแต่ง การใช้งาน CMS เท่านั้น สำหรับ Code ต่าง ๆ ที่นำมาสร้าง และ ออกแบบเว็บไซต์ จะทำโดยทีมงานของผู้พัฒนา CMS ของแต่ละทีม ซึ่งทำให้ประหยัดเวลาในการสร้าง และออกแบบเว็บไซต์ ได้อย่างมาก
แนะนำโปรแกรม Joomla
"joomla" เป็นระบบบริหารจัดการเว็บไซต์ (content management system: cms) ที่ช่วยให้การพัฒนาเว็บไซต์เป็นเรื่องง่ายและรวดเร็ว สามารถติดตั้งใช้งานและอัพเดทข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลาตามต้องการ
โปรแกรม joomla จะแบ่งเว็บไซต์ออกเป็นสองส่วนหลัก ๆ คือ
frontend คือส่วนที่แสดงผลให้กับผู้เข้าชมเว็บไซต์ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเนื้อหาของเว็บไซต์นั่นเอง
backend คือส่วนการจัดการเนื้อหารวมถึงโครงสร้างของเว็บไซต์ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าส่วนadministrator
ส่วนของ frontend เป็นส่วนของเว็บไซต์ที่คนอื่นจะเข้ามาดู ส่วน backend จะเป็นส่วนให้ผู้ดูแลเว็บไซต์เข้าไปแก้ไขข้อมูลต่าง
ๆ นั่นเอง ซึ่งการเข้าสู่ส่วน backend เพื่อจัดการข้อมูลต่างๆ
จะต้อง Loginที่ http://web.agri.cmu.ac.th/it/administrator
ส่วนประกอบต่างๆภายใน Joomla Administrator
หลังจาก Login เข้ามาในส่วน administrator แล้ว จะพบส่วนประกอบต่าง ๆ 4 ส่วนดังนี้
1. Menubar คือส่วนที่แสดงชื่อคำสั่งทั้งหมดของโปรแกรม Joomla
2. Infobar คือส่วนที่แสดงข้อมูลรายละเอียดต่อไปนี้
- ชื่อของเว็บไซต์
- ตำแหน่งปัจจุบัน (Current Location) ใน Admin Section ที่กำลังใช้งานอยู่
- จำนวนข้อความที่ได้รับจาก Users อื่น ๆ
- จำนวนผู้เข้าใช้งานโปรแกรม Joomla ในขณะนั้น
- ชื่อผู้ใช้ที่ Login เข้ามา เช่น admin
3. Toolbar คือเมนูคำสั่งย่อยจะปรากฏหลังจากคลิกเลือกคำสั่งบน Menubar แล้ว (อาจจะแสดง จำนวนปุ่มไม่เท่ากัน เมื่อคลิกเลือกคำสั่งบนmenubar)
- ชื่อของเว็บไซต์
- ตำแหน่งปัจจุบัน (Current Location) ใน Admin Section ที่กำลังใช้งานอยู่
- จำนวนข้อความที่ได้รับจาก Users อื่น ๆ
- จำนวนผู้เข้าใช้งานโปรแกรม Joomla ในขณะนั้น
- ชื่อผู้ใช้ที่ Login เข้ามา เช่น admin
3. Toolbar คือเมนูคำสั่งย่อยจะปรากฏหลังจากคลิกเลือกคำสั่งบน Menubar แล้ว (อาจจะแสดง จำนวนปุ่มไม่เท่ากัน เมื่อคลิกเลือกคำสั่งบนmenubar)
4. Workspace คือพื้นที่แสดงการทำงานต่างๆ ซึ่งอยู่ด้านล่าง Menubar, Infobar และ Toolbarความหมายของปุ่มคำสั่งต่างๆ
การจัดการ Section
Section (หมวดหมู่หลัก)
ทำหน้าที่จัดเก็บ Category (หมวดหมู่ย่อย)
การเข้าสู่ส่วนการจัดการ Section ,การสร้าง Section ,การลบ Section ,การแก้ไข Section ,การเปิดและซ่อน section
การเข้าสู่ส่วนการจัดการ Section
(Section Manager) สามารถทำได้ 2 วิธีดังนี้
วิธีที่ 1 คลิก Menubar แล้วเลือกคำสั่ง Content => Section Manager
วิธีที่ 2 คลิก menubar แล้วเลือกคำสั่ง Home เพื่อไปที่หน้าแรก (ส่วนของ Control Panel) คลิกปุ่ม Section Manager
การสร้าง Section
1. เข้าสู่ส่วนการจัดการ Section (section manager)
2. กดปุ่ม New จากนั้นจะเข้าสู่ส่วนการกำหนดค่าต่าง ๆ
3. กำหนดชื่อของ Section ลงใน Title และ Section Name (ใช้ชื่อเดียวกันได้) และกำหนดระดับของผู้ที่
สามารถเข้ามาดูในส่วนของ Access Level ซึ่งประกอบด้วย
Public ทุกคนสามารถเปิดดูได้ Registered เฉพาะผู้ที่ผ่านการ Log in เข้าระบบสมาชิกจึงจะสามารถเปิดดูได้ และ Specialสำหรับผู้ที่อยู่กลุ่มพิเศษ(กลุ่มที่แก้ไขข้อมูลได้)เท่านั้นที่เปิดดูได้
4. เมื่อกำหนดเสร็จเรียบร้อยให้กดปุ่ม
Save หรือ Apply
การลบ Section
1. เข้าสู่ส่วนการจัดการ
section (section manager)
2. เช็คเครื่องหมาย
√ ของ Section ที่ต้องการลบ
3. กดปุ่ม Delete (การลบ Section นั้นภายในต้องไม่มี
Category ใด ๆ อยู่)
การแก้ไข Section
1. เข้าสู่ส่วนการจัดการ
section (Section Manager)
2. เช็คเครื่องหมาย
√ ที่กล่องสี่เหลี่ยมหน้าชื่อ Section ที่ต้องการแก้ไข
3. กดปุ่ม Edit เพื่อเข้าสู่การแก้ไข Section
4. เมื่อแก้ไขเสร็จเรียบร้อยให้กดปุ่ม
Save หรือ Apply
การเปิดและซ่อน Section
1. เข้าสู่ส่วนการจัดการ
section (section manager)
2. หากต้องการเปิด
Content ใด ๆ ที่อยู่ภายใน Section นั้น ให้ปรากฏบนเว็บไซต์ สามารถทำได้โดยคลิกรูปสัญลักษณ์
ถูก ในคอลัมน์ของpublished และหากไม่ต้องการให้ปรากฏบนเว็บไซต์ให้คลิกเปลี่ยนเป็นรูป
สัญลักษณ์ ผิด
การจัดการ Category
Category (หมวดหมู่ย่อย)
ทำหน้าที่จัดเก็บ Content Items (เนื้อหา
ข้อมูลหรือบทความ) การเข้าสู่ส่วนการจัดการ Category การสร้างCategory การลบ Category การแก้ไข Category การเปิดและซ่อน
Category การเข้าสู่ส่วนการจัดการ
Category (Category Manager) สามารถทำได้ 2 วิธีดังนี้
วิธีที่ 1 คลิก Menubar แล้วเลือกคำสั่ง Content
=> Category Manager
วิธีที่ 2 คลิก menubar แล้วเลือกคำสั่ง Home
เพื่อไปที่หน้าแรก
(ส่วนของ Control Panel)
คลิกปุ่ม Category Manager
การสร้าง Category
1. เข้าสู่ส่วนการจัดการ Category
(Category manager) 2. กดปุ่ม New จากนั้นจะเข้าสู่ส่วนการกำหนดค่าต่าง ๆ
3. กำหนดชื่อของ Category ลงใน Category Title และ Category Name (ใช้ชื่อเดียวกันได้)
4. กำหนด Section ที่จัดเก็บ Category นี้
5. กำหนดระดับของผู้ที่สามารถเข้ามาดูในส่วนของ Access Level ซึ่งประกอบด้วย Public
ทุกคนสามารถเปิดดูได้
Registered เฉพาะผู้ที่ผ่านการ Log in เข้าระบบสมาชิกจึงจะสามารถเปิดดูได้ และ Special สำหรับผู้ที่อยู่กลุ่มพิเศษ(กลุ่มที่แก้ไขข้อมูลได้)เท่านั้นที่เปิดดูได้
การเปิดและซ่อน Category
1.เข้าสู่ส่วนการจัดการ Category (Category manager)
2.หากต้องการเปิด Content ใด ๆ ที่อยู่ภายใน Category นั้น ให้ปรากฏบนเว็บไซต์ สามารถทำได้โดยคลิกรูป
ถูก สัญลักษณ์ ในคอลัมน์ของpublished และหากไม่ต้องการให้ปรากฏบนเว็บไซต์ให้คลิกเปลี่ยนเป็นรูปสัญลักษณ์
ผิด
การจัดการ Content Item
Content Items (เนื้อหา
ข้อมูลหรือบทความ) การเข้าสู่ส่วนการจัดการ Content
Item การสร้าง Content Item การลบ Content Item การแก้ไข Content Item การนำ content item แสดงบนหน้าแรกของเว็บไซต์ การเปิดและซ่อน Content Item
การเข้าสู่ส่วนการจัดการ Content Item (Content Items Manager) สามารถทำได้ 2
วิธีดังนี้
วิธีที่ 1 คลิก Menubar
แล้วเลือกคำสั่ง
Content => All Content Items
วิธีที่ 2 คลิก menubar
แล้วเลือกคำสั่ง Home เพื่อไปที่หน้าแรก (ส่วนของ Control
Panel) คลิกปุ่ม Content
Items Manager
การสร้าง Content Item
1. เข้าสู่ส่วนการจัดการ Content Item
(Content Items manager)
2. กดปุ่ม New จากนั้นจะเข้าสู่ส่วนการกำหนดค่าต่าง
ๆ
3. กำหนดชื่อของ Content
Item ลงใน
Title และ Title Alias (ใช้ชื่อเดียวกันได้)
4. กำหนด section และ Category ที่จัดเก็บ Content Item นี้
5. พิมพ์และใส่ข้อมูลลงในกรอบ Intro Text และ Main Text
6. ระหว่างพิมพ์และใส่ข้อมูลสามารถกดปุ่ม เพื่อเปิด
pop up แสดง Content Item
7. เสร็จเรียบร้อยให้กดปุ่ม Save หรือ Apply
การลบ Content Item
1. เข้าสู่ส่วนการจัดการ Content Item (Content Items manager)
2. เช็คเครื่องหมาย √ ของ Content Item ที่ต้องการลบ
3. กดปุ่ม Delete (การลบ Content Item นั้นภายในต้องไม่มี
Content Item ใด ๆ อยู่)
การแก้ไข Content Item
1. เข้าสู่ส่วนการจัดการ Content Item (Content Items manager)
2. เช็คเครื่องหมาย √ ที่กล่องสี่เหลี่ยมหน้าชื่อ Content Item ที่ต้องการแก้ไข
3. กดปุ่ม Edit เพื่อเข้าสู่การแก้ไข
Content Item
4. ระหว่างแก้ไขสามารถกดปุ่ม เพื่อเปิด pop up แสดง content item
5. เมื่อแก้ไขเสร็จเรียบร้อยให้กดปุ่ม Save หรือ Apply
การนำ Content Item แสดงบนหน้าแรกของเว็บไซต์
1. เข้าสู่ส่วนการจัดการ content item (content items manager)
2. คลิกในคอลัมน์ของ Front Page ให้แสดงเครื่องหมาย ของ content item ที่ต้องการแสดงบนหน้า แรก
หากไม่ต้องให้คลิกอีกครั้งให้แสดงเครื่องหมาย
ผิด
การเปิดและซ่อน Content Item
1.เข้าสู่ส่วนการจัดการ Content Item (Content Items manager)
2.หากต้องการเปิด Content
ใด ๆ
ที่อยู่ภายใน Content Item นน้ั
ให้ปรากฏบนเว็บไซต์ สามารถท าได้โดย คลิกรูป
ถูก ในคอลัมน์ของ published และหากไม่ต้องการให้ปรากฏให้คลิกเปลี่ยนเป็นรูป ผิด
การใช้งาน TinyMCE สำหรับใส่และแก้ไขข้อมูล
Content Item
การใส่และแก้ไขข้อมูลลงใน Content จะมีลักษณะคล้าย
ๆ กับโปรแกรมออกแบบเว็บไซต์ทั่วไป เช่น Macromedia
Dreaweaver โดยจะมีกรอบที่สามารถใส่ข้อมูลสองส่วนคือ
- ส่วนแรก Intro Text เป็นส่วนที่ Content Item จำเป็นต้องมี
อาจจะใส่ข้อมูลทั้งหมดหรือข้อความบางส่วนที่เกริ่นถึงเนื้อหาใน Content Item ทั้งหมด
- ส่วนที่สอง Main Text เป็นส่วนที่แสดงเนื้อ
ความหมายของปุ่มคำสั่งบน Toolbar
การจัดการตาราง (Table)
การแทรกตาราง
2. กำหนดค่าต่าง ๆ ดังนี้ Columns จำนวนของแถวในแนวตั้ง Rows จำนวนของแถวในแนวนอน Cellpadding ระยะห่างระหว่างช่องCell กับตัวอักษรภายในช่อง Cell
Cellspacing ระยะห่างระหว่างช่อง
Cell Alignment กำหนดให้ตารางชิดซ้าย ขวาหรือกึ่งกลาง Width, Height กำหนดความกว้างและความสูงหน่วยเป็น
pixels (สามารถเปลี่ยนหน่วยเป็น
% ได้ โดยเติม % ต่อท้าย) และกดปุ่ม แทรกตาราง
การแทรกและลบ Row หรือ Column
1. คลิกช่อง Cell
2. เลือกกดปุ่มคำสั่งบน Toolbar ดังนี้
การรวม ช่อง Cell
การใช้ Media Manager สำหรับการจัดเก็บไฟล์รูปภาพและไฟล์อื่น
ๆ
Media Manager เป็นส่วนที่ดูแลและจัดการไฟล์ที่
Upload เข้ามาเก็บไว้ที่เว็บไซต์
สำหรับไฟล์ที่อนุญาตให้ สามารถ Upload ได้จะมีด้วยกัน
9 ประเภทประกอบด้วย doc, xls, ppt,
bmp, gif, jpg, png, swf, pdf Folder ที่จัดเก็บไฟล์ โปรแกรม Joomla ได้กำหนด folder สำหรับการใช้งานมาให้สอง
folder ประกอบด้วย
1. banners เป็น folder สำหรับจัดเก็บไฟล์รูปภาพที่จะถูกนำไปใช้เป็น Banner
2. stories
เป็น folder รูปภาพที่ถูกใช้กับ
MOSImage ซึ่งจะถูกแสดงออกมาในส่วน Tab Images เมื่อมี การแก้ไข Content Item
การเข้าสู่ Media Manager สามารถทำได้ 2 วิธีดังนี้
วิธีที่ 1
คลิก Menubar แล้วเลือกคำสั่ง
Site => Media Manager
วิธีที่ 2 คลิก menubar แล้วเลือกคำสั่ง
Home เพื่อไปที่หน้าแรก (ส่วนของ Control
Panel) คลิกปุ่ม Media Managerการย้ายไปยัง Folder อื่น
1. เข้าสู่ Media Manager
การ Upload
ไฟล์
1. เข้าสู่ media manager
2. ย้ายไปยัง Folder ที่ต้องการเก็บไฟล์
3. กดปุ่ม Browse เพื่อเลือกไฟล์
4.กดปุ่ม Upload
การสร้าง Folder
1. เข้าสู่ media manager
2. ย้ายไปยัง folder ที่ต้องการเก็บ Folder
ใหม่
3. พิมพ์ชื่อ Folder ที่ต้องการสร้างในช่อง create directory
4. กดปุ่ม Create
การลบไฟล์
1. เข้าสู่ media manager
2. ย้ายไปยัง folder ที่เก็บไฟล์ที่ต้องการลบ
3. กดปุ่ม ถังขยะ ตรงไฟล์ที่ต้องการลบ
การจัดการเนื้อหาบนหน้าแรกของเว็บไซต์ด้วย Frontpage Manager
การเข้าสู่ส่วน Frontpage Manager เพื่อจัดการ Content Item ที่ถูกเลือกมาไว้ในหน้าแรกของเว็บไซต์ สามารถท าได้ 2 วิธีดังนี้
การจัดการเนื้อหาบนหน้าแรกของเว็บไซต์ด้วย Frontpage Manager
การเข้าสู่ส่วน Frontpage Manager เพื่อจัดการ Content Item ที่ถูกเลือกมาไว้ในหน้าแรกของเว็บไซต์ สามารถท าได้ 2 วิธีดังนี้
วิธีแรก 1. คลิก Menubar แล้วเลือกค คำสั่ง
Content => Frontpage Manager
วิธีที่ 2
1. คลิก menubar แล้วเลือกคำสั่ง Home เพื่อไปที่หน้าแรก (ส่วนของ Control Panel)
2. คลิกปุ่ม Front page
Manager
การเปิดและซ่อน Content Item ในหน้าแรก
1. เข้าสู่ส่วน frontpage
manager
2. หากต้องการให้ Content
Items ปรากฏให้หน้าแรกให้คลิกส่วน
Published ให้เป็นรูปสัญลักษณ์
และหากไม่ต้องให้ปรากฏให้คลิกเปลี่ยนเป็นรูปสัญลักษณ์
การสลับลำดับของ Content Items ที่แสดงในหน้าแรก
1. เข้าสู่ส่วน Frontpage
Manager
2. ให้คลิกรูปสัญลักษณ์ ที่แถว Reorder เพื่อเปลี่ยนลำดับ
การจัดการเมนู (Menu Manager) กับ Content Item
Menu เป็นส่วนที่น าข้อมูล Content Item มาแสดงบนเว็บไซต์เมนูจะมีทั้งหมด 4 รูปแบบ ดังนี้
Main Menu (เมนูหลัก
ปกติจะปรากฏทางด้านซ้าย)
top menu (เมนูด้านบน)
user menu (เมนูส
าหรับสมาชิก จะปรากฏเมื่อสมาชิก Login)
Other Menu (เมนูอื่น ๆ)
การจัดการปุ่ม () บนเมนู
การเข้าสู่ส่วนการจัดการเมนู (Menu Manager)
การสร้างปุ่มเพิ่มบนเมนู
การลบปุ่ม
การสลับล าดับปุ่ม
การเปิดและซ่อนปุ่ม
การเข้าสู่ส่วนการจัดการเมนู (Menu Manager) (ในที่นี้จะเป็นการสร้างปุ่มบน
main menu)
1. คลิก menubar แล้วเลือกค
าสั่ง menu => mainmenu
เมื่อเข้าสู่ส่วนการจัดการ menu จะปรากฏส่วนแสดงรายละเอียดภายใน menu manager ดังรูป
การสร้างปุ่มเพิ่มบนเมนูสามารถทำได้ดังนี้
1. เข้าสู่ส่วนการจัดการเมนู
(menu manager)
2. กดปุ่ม
3. เลือกประเภทของปุ่ม
(Menu Item)
4. กดปุ่ม
ปัจจุบันมีระบบจัดการบทความ หรือ CMS หลายเจ้าดังๆ ที่เป็น Open Source ซึ่งแต่ละเจ้านั้นแตกต่างกันออกไป
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของฟิวเจอร์ต่างๆ คุณสมบัติ ความปลอดภัย ทั้งหมดนี้ Joomla ได้เตรียมให้เราค่อนข้างครบ
ทำให้คนที่ไม่รู้โค้ดก็สามารถสร้างเว็บไซต์ของตัวเองด้วย Joomla ได้ง่ายๆ บางเจ้าใช้งานง่ายก็จริง
แต่พอเล่นๆดูสักพัก เราจำเป็นต้องติดตั้งปลั๊กอินเสริมต่างๆมากมาย
ทำให้คนที่ไม่รู้โค้ดหรือเทคนิค ต้องใช้เวลานานในการศึกษา
5
เหตุผลที่ต้องใช้ Joomla ทำเว็บไซต์
1.คุณสมบัติในการจัดการเนื้อหาครบถ้วน
2.ฟังก์ชันและอินเตอร์เฟสได้มาตรฐาน
3.กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงเนื้อหา
4.ระบบจัดการธีมเพลตที่ครบเครื่อง
5.รองรับภาษาสากล
1. คุณสมบัติในการจัดการเนื้อหาครบถ้วน
: Joomla เป็นระบบการจัดการบทความหรือที่เราเรียกกันว่า CMS ซึ่งใช้ในการสร้างเว็บไซต์ในรูปแบบต่างๆ ซึ่ง Joomla มีระบบจัดการบทความที่ยอดเยี่ยม ตั้งแต่
สามารถสร้างบทความ ประเภทของบทความ กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงบทความ Options ต่างๆของแต่ละบทความ มีระบบค้นหาที่ครบค้วน
ทำให้เราสามารถจัดการบทความของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และที่สำคัญคือมีระบบตั้งค่า SEO เรียบร้อย
สามารถใส่พวก Keywords , Description, title ผ่านบทความได้ง่ายๆเลย
2.ฟังก์ชันและอินเตอร์เฟสได้มาตรฐาน
: Joomla ด้วยความที่เป็นระบบ
CMS ที่ครบเครื่อง มีฟิวเจอร์ต่างๆมากมาย ทำให้อาจจะต้องใช้เวลาในช่วงแรกๆ
ในการศึกษามัน แต่ถ้าเราใช้มันไปในระดับนึง เราจะเห็นได้ว่า Joomla เองได้พยายามใช้ฟังก์ชันต่างๆที่อยู่ในระบบ
ให้เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน ทำให้ง่ายต่อการใช้งาน และส่วนของหลังบ้านหรือ Administrator สังเกตเห็นว่า Joomla
ใช้ Bootstrap ในการออกแบบ GUI ซึ่งเป็น CSS Framework ที่ได้รับความนิยามทั่วโลก
3. กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงเนื้อหา :
สิ่งที่สำคัญอีกอย่างของ Joomla คือ
จูมล่าอนุญาตให้เรากำหนดสิทธิ์การใช้งานบทความแต่ละบทความว่า
อยากจะให้ยูเซอร์คนใหนสามารถเข้าถึงบทความนั้นๆได้ ไม่อนุญาตให้ใครบ้าง
ถือว่าเป็นฟิวเจอร์ที่น่าสนใจ สำหรับคนที่ต้องการสร้างเว็บไซต์ที่หลากหลาย
4.ระบบจัดการธีมเพลตที่ครบเครื่อง
: บางธีมเพลต(Template) อนุญาตให้เราใช้ธีมแค่ธีมเดียวต่อหนึ่งเว็บ
อย่างไรก็ตามจูมล่า(Joomla)อนุญาตให้เรา
ใช้ธีมเพลตแต่ละหน้าของเว็บไซต์ไม่เหมือนกัน เช่น ธีม A ใช้กับเพจหน้า A ธีม B ใช้กับเพจหน้า B เป็นต้น
จะเห็นได้ว่า จูมล่าได้ออกแบบระบบธีมเพลตให้ ยืดหยุ่น ต่อการใช้งานบนเว็บไซต์
5. รองรับภาษาสากล
:เหตุผลที่ใหญ่ที่สุดว่าทำไมจูมล่า(Joomla) เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางทั่วโลก
เพราะจูมล่าได้รองรับภาษาต่างๆ ระดับสากล จูมลา(Joomla)สามารถ ติดตั้ง
และกำหนดการตั้งค่าภาษาต่างๆได้โดยไม่ต้องติดตั้งปลั๊กอินใดๆเพิ่มเลย
ทำให้เราสามารถสร้างเว็บไซต์ 2 ภาษาหรือ
หลายภาษาได้อย่างง่ายดาย
ข้อดีของ Joomla!
-เป็นเครื่องมือที่เปิดใช้งานได้
ฟรี
-ขั้นตอนการติดตั้งง่าย
-สามารถควบคุมอินเตอร์เฟสด้วยเทมเพลตเพื่อแสดงเนื้อหาของเว็บไซต์
-จัดการเนื้อหาได้ง่าย
-สนับสนุนการทำงานของคนจำนวนมากในเวลาเดียวกัน
-มีความเสถียรและอัพเดตสม่ำเสมอ
มีสังคมช่วยเหลือออนไลน์มากมาย
มีนักพัฒนาที่เป็นภาษาไทย (https://www.joomlacorner.com)
ข้อเสียของ Joomla!
-ผู้เริ่มต้นในการใช้งานอาจไม่เข้าใจของส่วนประกอบ
,โมดูล , และปลั๊กอิน
-ส่วนประกอบบางส่วนไม่ครอบคลุมความต้องการ
ทำให้แก้ปัญหาค่อนข้างยากลำบาก
แหล่งที่มา
http://www.agri.cmu.ac.th/2017/files/Download/49080109.pdf https://www.teeneeweb.com/5-reasons-choose-joomla-website/
http://www.agri.cmu.ac.th/2017/files/Download/49080109.pdf https://www.teeneeweb.com/5-reasons-choose-joomla-website/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น