องค์การแห่งเรียนรู้
เป็นแนวคิดในการพัฒนาองค์การโดยเน้นการพัฒนาการเรียนรู้สภาวะของการเป็นผู้นำในองค์การ
และการเรียนรู้ร่วมกัน ของคนในองค์การ
เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ และทักษะร่วมกัน
และพัฒนาองค์การอย่างต่อเนื่องทันต่อสภาวะการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขัน
วินัย5
ประการในการก้าวสู่องค์การแห่งเรียนรู้
1.บุคคลรอบรู้ (Personal Mastery) หมายถึง การเรียนรู้ของบุคลากรจะเป็นจุดเริ่มต้น
คนในองค์กรจะต้องให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ ฝึกฝน ปฏิบัติ
และเรียนรู้อย่างต่อเนื่องไปตลอดชีวิต (Lifelong Learning) เพื่อเพิ่มศักยภาพของตนเองอยู่เสมอ
2.แบบแผนทางความคิด (Mental Model) หมายถึง แบบแผนทางความคิด ความเชื่อ ทัศนคติ แสดงถึงวุฒิภาวะ(Emotional
Quotient, EQ) ที่ได้จากการสั่งสมประสบการณ์กลายเป็นกรอบความคิดที่ทำให้บุคคลนั้นๆ
มีความสามารถในการทำความเข้าใจ วินิจฉัย ตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม
3.การมีวิสัยทัศน์ร่วม (Shared Vision) หมายถึง
การสร้างทัศนคติร่วมของคนในองค์กร
ให้สามารถมองเห็นภาพและมีความต้องการที่จะมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน
4.การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม (Team Learning) หมายถึง
การเรียนรู้ร่วมกันของสมาชิกในลักษณะกลุ่มหรือทีมงานเป็นเป้าหมายสำคัญที่จะต้องทำให้เกิดขึ้นเพื่อให้มีการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์กันอย่างสม่ำเสมอ
5.การคิดอย่างเป็นระบบ (System Thinking) หมายถึง
การที่คนในองค์กรมีความสามารถที่จะเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ
โดยมองเห็นภาพความสัมพันธ์กันเป็นระบบโดยรวม(Total
System) ได้อย่างเข้าใจ
แล้วสามารถมองเห็นระบบย่อย(Subsystem) ที่จะนำไปวางแผนและดำเนินการทำส่วนย่อยๆ
นั้นให้เสร็จทีละส่วน
ลักษณะสำคัญ 5
ประการขององค์การแห่งการเรียนรู้
- 1.มีการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ (Systematic problem Solving) โดยอาศัยหลักทางวิทยาศาสตร์ เช่น การใช้วงจรของ
- 2.มีการทดลองปฏิบัติ (Experimental) ในสิ่งใหม่ ๆ
ที่มีประโยชน์ต่อองค์การเสมอ โดยอาจจะเป็น Demonstration Project หรือเป็น Ongoing
program
- 3.มีการเรียนรู้จากบทเรียนในอดีต (Learning from their own experience) มีการบันทึกข้อมูลเป็น case study เพื่อให้สมาชิกในองค์การได้ศึกษาถึงความสำเร็จและความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในอนาคต มีการแลกเปลี่ยนความรู้และ ประสบการณ์ของสมาชิก
- 4.มีการเรียนรู้จากผู้อื่น (Learning from the Others) โดยการใช้การสัมภาษณ์ (Interview), การสังเกต (Observation) ฯลฯ
- 5.มีการถ่ายทอดความรู้โดยการทำ Report, Demonstration, Training & Education, Job Rotation ฯลฯ
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่มีบทบาทในการจัดการความรู้แบ่งเป็น 4 รูปแบบ
1.เทคโนโลยีการสื่อสาร (Communication Technology) ช่วยให้บุคลากรเข้าถึงความรู้ได้ง่ายขึ้นและสามารถสื่อสารกับผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆผ่านอินเทอร์เน็ต
2.เทคโนโลยีสนับสนุนการทำงานร่วมกัน (Collaboration Technology) ช่วยให้ประสานงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดอุปสรรคในเรื่องระยะทาง
3.เทคโนโลยีในการจัดเก็บ (Storage Technology) ช่วยในการจัดเก็บดูแลและปรับปรุงสารสนเทศและช่วยลดค่าใช้จ่ายในกระบวนการจัดการความรู้ด้วย
4.สังคมเครือข่าย (Social Networking) ช่วยการบริหารจัดการระบบภายในองค์กร คือการให้และรับและแบ่งปัน และสนับสนุนให้เกิดเครือข่ายสังคมออนไลน์ และการมีปฏิสัมพันธ์กันและมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างคนในสังคม เช่นการมีความรู้สึกบางอย่างร่วมกันเป็นต้น
ขั้นตอนการเป็นองค์กรแห่งการเรียบรู้
ขั้นตอนที่ 1 สำรวจสภาพปัจจุบัน การประเมินศักยภาพขององศ์กรและบุคลากรในองค์กร
ค่านิยม ปัญหาข้อบกพร่องต่างๆและประเมินการเรียนรู้ในปัจจุปัน
รวมทั้งสำรวจระบบที่ใช้ในการจัดการองค์ความรู้
ขั้นตอนที่ 2
กำหนดกลยุทธ์การจัดการความรู้ขององค์กร นำข้อมูลที่ได้มานำมากำหนดเป้าหมาย
กลยุทธ์หรือแนวทางที่ใช้เป็นรูปแบบและกิจกรรมที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน
หรือจัดให้มีการถ่ายทอดความรู้ระหว่างกัน
ขั้นตอนที่ 3
กำหนดโครงสร้างการจัดคารความรในองค์กร
กำหนดผู้รับผิดชอบกิจกรรมหลักหรือผู้ริเริ่มการสร้างความร่วมมือในการสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้
เป็นคณะทำงานหรือทีมงานในการจัดการความรู้และบริหารเปลี่ยนแปลง
ขั้นตอนที่ 4 กำหนดแผนปฏิบัติการหลักและปฏิบัติตามแผนการจัดการความรั
การดำเนินงานตามแผน
มีการแต่งตั้งคณะทำงานส่งเสริมดำเนินงาน ติดตามและประเมินผล
ซึ่งมีตัวแทนจากบุคลากรทุกฝ่าย รวมทั้งผู้บริหารด้วย
ขั้นตอนที่ 5
กำหนดระบบสนับสนุนการจัดคารความรู้
ใช้ระบบตั้งแต่กาวรจัดเก็บ
จัดการระบบ สืบค้น
และการค้นหาองค์ความรู้ที่ต้องใช้ประโยชน์ทั้งที่อยู่ในรูปแบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์และระบบสื่อสารอื่นๆและจัดให้มีแหล่งความรู้เพื่อรวบรวมความรู้และง่ายต่อการถ่ายทอดความรู้ระหว่างกัน
ขั้นตอนที่ 6 การติดตาม ประเมินและปรับปรุง
ในขั้นตอนท้ายสุดหลังจากดำเนินการไปแล้วระยะหนึ่ง
เพื่อให้ทราบว่าองค์กรมีลักษณะเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้มากน้อยเพียงใด
พิจารณาจากประสิทธิผล,ประสิทธิภาพและผลผลิตในองค์กรได้หรือไม่
แหล่งที่มา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น